ความแตกต่างระหว่างเรียนต่ออังกฤษ VS อเมริกา
ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยอังกฤษ VS อเมริกา
ประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกาถือเป็นจุดหมายยอดฮิตที่นักเรียนอยากไปศึกษาต่อมากที่สุดในโลก ด้วยระบบการศึกษาที่ได้รับการยอมรับระดับ World-Class มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก หลักสูตรที่ได้มาตรฐาน สาขาวิชาที่มีให้เลือกเรียนหลากหลาย พร้อมเปิดโอกาสได้ฝึกภาษาอังกฤษและเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ อีกด้วย
วันนี้พี่ๆ GoUni เลยจะมาพูดถึงข้อแตกต่างระหว่างการเรียนมหาลัยที่อังกฤษ และอเมริกา เผื่อจะได้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะช่วยน้องๆตัดสินใจว่าควรไปเรียนที่ไหนดี มาดูกันว่าเลยว่ามีข้อแตกต่างอะไรบ้าง หลักสูตรต่างกันมากมั้ย แต่ละที่มีดียังไง
Duration of Courses / ระยะเวลาในการเรียน
UK | USA | |
ปริญญาตรี 3 ปี ปริญญาโท 1 ปี ปริญญาเอก 3-5 ปี | ระยะเวลา | ปริญญาตรี 4 ปี ปริญญาโท 10 เดือน - 2 ปี* ปริญญาเอก 5 - 7 ปี |
*ขึ้นอยู่กับจำนวนหน่วยกิตที่ต้องเก็บ โดยปกติหลักสูตร 30 หน่วยกิต สามารถเรียนเสร็จภายใน 10 เดือนถึง 1 ปี บางหลักสูตรก็ต้องเก็บ 60 หน่วยกิตถึงจะจบได้
Curriculum (หลักสูตร)
UK: หลักสูตรของฝั่งอังกฤษจะเน้นแบบรู้สึกรู้จริง เฉพาะวิชาที่อยู่ในสาขาเพื่อลงลึกในการเรียนสาขานั้นๆ นักศึกษาจะได้เรียนหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับวิชาเอกทั้งหมด และไม่สามารถเปลี่ยนวิชาเอกระหว่างการเรียน แต่สามารถเลือกเรียนสองสาขาพร้อมกันแบบ joint honours ได้สำหรับโปรเจคจบก็มีให้เลือกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น Dissertation, Project, Internship และอื่นๆ ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยและสาขา
US: ส่วนฝั่งอเมริกาจะเน้นการเรียนแบบรู้กว้างๆ รู้หลากหลายและรอบด้าน นักศึกษาจะไม่ต้องเลือกวิชาเอกจนกว่าจะเรียนจบปี 2 ระหว่างนั้นก็มีโอกาสเปลี่ยนวิชาเอกได้ ต้องเรียนหลักสูตรวิชาพื้นฐาน เช่น writing, mathematics, science, and political science นักศึกษาจะมีอิสระในการเลือกเรียนในด้านที่ตัวเองสนใจและค้นหาตัวเองในระหว่างการเรียนปีแรกจะเน้นเรียนให้หลากหลายมากขึ้น และสามารถเรียนนอกสาขาวิชาได้ และสำหรับโปรเจคจบก็จะมีให้เลือกหลายแบบเช่นกันไม่ว่าจะเป็น Thesis, Non-Thesis, Project และ Capstone ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยและสาขา
Style of Education (การเรียนการสอน)
UK: การสอนส่วนใหญ่เป็นแบบเลคเชอร์ โดยจะมีคลาส tutorial หรือ lectorial เพื่อ dicuss เนื้อหาที่เรียนในคาบเลคเชอร์เพิ่มเติม โดยอาจารย์จะส่งงานให้อ่านนอกเวลา เมื่อเข้าห้องมาแล้วต้องสามารถพูดคุยกับเพื่อนและอาจารย์ได้เลยทันที นอกจากนี้ยังมีการมอบหมายงานเป็นครั้งคราว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเน้นเป็นแบบโปรเจคใหญ่ๆ หรือไม่ก็สอบปลายภาคไปเลย อาจารย์ที่นี่จะไม่ได้คอยมาตามงาน เพราะถือว่านักศึกษาควรมีความรับผิดชอบมากพอ พร้อมเปิดโอกาสให้เราได้บริหารเวลาและการเรียนได้ตามความต้องการของตัวเองอย่างเต็มที่
US: ทางฝั่งอเมริกาการสอนจะมีทั้งแบบเลคเชอร์ การเรียนแบบสนทนาแบบกลุ่มเล็กๆ (group discussion section) เพื่อให้นักเรียนสามารถพูดคุยแสดงความคิดเห็นต่อหัวข้อที่เรียนได้ อาจารย์จะมีหน้าที่ช่วยให้นักเรียนทำผลการเรียนออกมาได้ดีที่สุด โดยก็จะคอยเตือนถึงงานที่ต้องส่ง บางครั้งก็จะมี quiz เพื่อเช็คความรู้ระหว่างที่เรียนไปว่านักเรียนเข้าใจมั้ย นอกจากนี้ในโปรเจคหรืองานเขียนต่างๆ ก็จะมีการให้ส่ง first draft ของงานนั้นๆ เพื่อให้อาจารย์เช็คแล้วนักศึกษาก็สามารถนำกลับไปแก้และพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ ตลอดเทอมก็จะมีงานให้อ่าน ให้คิดวิเคราะห์ มีโปรเจคต่างๆ มีสอบกลางภาคและปลายภาค
Grades (การเก็บคะแนน)
UK: ฝั่งอังกฤษจะเก็บคะแนนจากโปรเจคระยะยาวและการสอบปลายภาคเป็นหลัก โดยคะแนน 70% ขึ้นไปจะเท่ากับเกรด First คะแนน 60-70% จะเท่ากับเกรด 2:1 คะแนน 50-60% จะเท่ากับเกรด 2:2 คะแนน 40-50% จะเท่ากับ Third และคะแนนต่ำกว่า 40% เท่ากับไม่ผ่านค่ะ
US: ในขณะที่ฝั่งอเมริกาจะเก็บคะแนนจากการบ้านและงานที่ได้รับมอบหมายตลอดเทอมการศึกษาที่จะมีทั้งโปรเจค การพรีเซ้นท์งาน และงานอื่นๆ รวมถึงคะแนนสอบปลายภาคของนักศึกษาด้วย ส่วนของเกรดทางฝั่งอเมริกาจะใช้เป็น GPA (grade point average) ซึ่ง 4.0 ก็เท่ากับ A ตัดเกรดที่ 90% แต่ในหลายมหาลัยก็จะมีเกรดตั้งแต่ A, A-, B+, B, B- ซึ่ง GPA ก็จะต่างกันไป
Extracurricular Activities (กิจกรรมนอกเวลาเรียน)
UK: มหาวิทยาลัยของฝั่งอังกฤษมักจะมีชมรมให้เลือกเข้าหลากหลายมาก มีกีฬา มีกิจกรรมต่างๆ ให้เลือกทำนอกเวลาเรียน แต่ไม่ได้บังคับหรือสำคัญมากเท่าฝั่งอเมริกา เน้นให้นักเรียนได้ใช้เวลากับเพื่อนๆ ในคอมมูนิตี้ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์หรือผ่อนคลายมากกว่า
US: ในขณะที่ฝั่งอเมริกา การที่เราขยันทำกิจกรรมนอกห้องเรียนไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา ดนตรีหรืออื่นๆ คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญสำหรับการสมัครเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่อเมริกาเลย ทั้งนี้ก็เพื่อคัดเลือกนักเรียนที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัย เนื่องจากกิจกรรมเหล่านั้นจะช่วยบ่งบอกตัวตนของนักเรียนได้นั่นเอง ที่นี่จึงมีการมอบทุนการศึกษาให้นักกีฬาเพียบเลยเช่นกันค่ะ
Accomodations (การอยู่หอพัก)
UK: ในการเรียนปริญญาตรีในปีแรกนักศึกษาจะต้องพักอยู่หอในของมหาลัย แต่ทางฝั่งอังกฤษสามารถเลือกอยู่ห้องคนเดียวได้ มีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างมาก โดยจะแชร์พื้นส่วนกลางอย่างห้องครัวและห้องนั่งเล่นนวมกันกับนักศึกษาคนอื่นๆ
US: ส่วนฝั่งอเมริกาจะต้องอยู่กับรูมเมท เพื่อให้นักศึกษาได้มีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมในกิจกรรมกับเพื่อนในมหาวิทยาลัยได้ แต่หลังจากปีแรกหรือในระดับปริญญาโทก็สามารถเลือกย้ายออกไปอยู่หอนอกได้
Work Opportunities (โอกาสในการทำงาน)
UK: นักเรียนสามารถไปทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนได้ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และในช่วงปิดเทอมสามารถทำงานเต็มเวลาได้ และเมื่อจบการศึกษาสามารถทำวีซ่าอยู่ต่อได้อีก 2 ปีผ่านโปรแกรม Graduate Route
US: สำหรับฝั่ง USA นักเรียนสามารถไปทำงานพาร์ทไทม์ระหว่างเรียนได้ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เช่นกัน (โดยต้องเป็นงาน on campus) และในช่วงปิดเทอมสามารถทำงานเต็มเวลาได้ เมื่อจบการศึกษาสามารถอยู่ต่อได้เพียง 60 วัน ซึ่งในระหว่างนั้นจะต้องลงทะเบียนเรียนในวิทยาลัยอื่นหรือในโปรแกรม Optional Practical Training (OPT) เพื่อรับการจ้างงานด้วยวีซ่า F-1 ซึ่งสามารถทำงานได้ 1 ปี ถ้าทำงานสาย STEM สามารถขอวีซ่า F-1 เพื่อทำงานได้ 2-3 ปี เมื่อครบเวลาที่กำหนดก็ต้องเลือกระหว่างกลับไปศึกษาต่อ เดินทางออกนอกประเทศ หรือยื่นขอวีซ่าทำงานต่อ
บทความอื่นที่น่าสนใจ
ทีมงาน GoUni ทุกคนล้วนมีประสบการณ์ตรงในการไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ พวกเราเข้าใจดีว่าความเครียดและความรู้สึกกังวลใจในการจะมาเรียนต่อที่ต่างประเทศนั้นเป็นอย่างไร เราช่วยเหลือนักเรียนยื่นใบสมัครมากกว่า 2,500 ใบสมัครต่อปี
GoUni จัดการทุกๆ ใบสมัครอย่างสมบูรณ์แบบ รวบรวมแพ็คเกจบริการต่างๆ รวมถึงผู้ช่วยส่วนตัวเพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าเราจะช่วยเหลือทุกขั้นตอนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ คุณจะไม่รู้สึกเครียด กังวล หรือหลงทางอีกต่อไป!
ทำไมต้อง GOUNI?
- ให้คำปรึกษาฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- สะดวกสบาย ทำให้น้องๆ มีเวลาในการทำงานหรือตั้งใจเรียน
- มีสำนักงานใหญ่ที่ลอนดอน สามารถติดต่อกับสถาบันได้โดยตรง
- ทีมงานของเรามีรุ่นพี่ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยระดับ Top
- มีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้านการแนะแนวกว่า 15 ปี
ให้การเรียนต่อต่างประเทศเป็นเรื่องง่าย
Official Line: https://lin.ee/SmbZgxh
Tel: 098-825-9840 / 093-323-0500
Facebook: https://m.me/gouni.th
Email: info@gouni.co.th
Leave A Comment
รับข่าวสารจากเรา
เราจะคอยอัปเดตคุณด้วยการแจ้งเตือนข่าวสารและความช่วยเหลือเมื่อคุณต้องการ